United State of America
อเมริกาเป็นอันดับ 1 ของโลกในการเป็นจุดหมายสำหรับนักเรียนต่างชาติ การมาเรียนที่นี่ ก็ยังนับเป็นการเปิดโลกทัศน์ ทั้งเรื่องการศึกษาและชีวิต โดยมีตัวเลขในปีการศึกษา 2560-2561 มีนักศึกษาต่างชาติจำนวน 1,094,792 คนเดินทางไปศึกษาในสหรัฐฯ
Why USA?
- มีสถาบันและหลักสูตรเป็นที่รู้จักในระดับโลก มีสาขาวิชาต่างๆ มากมายที่สามารถหาให้ตรงความต้องการได้
- มีทีมคณะอาจารย์ เจ้าหน้าที่สถาบัน รวมถึงสิ่งสนับสนุนด้านต่างๆ จะช่วยส่งเสริมการเรียนได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการศึกษาตามที่ต้องการ
- มีความคิดเห็นมุมมอง วัฒนธรรม การใช้ชีวิต ของคนหลากหลายจากเพื่อนนักศึกษาทั่วโลก จะทำให้คุณได้ประสบการณ์ชีวิตที่ไม่อาจหาได้จากที่อื่น และไม่แน่ว่าอาจทำให้ได้รับโอกาสที่จะเปลี่ยนชีวิตเลยก็ได้
USA Education System
โครงสร้างการศึกษาของอเมริกา มีระยะเวลาเรียนภาคบังคับจนจบมัธยมปลาย คือ 12 ปี โดยแบ่งเป็น
- ระดับอนุบาล (ไม่ใช่ภาคบังคับ)
- ระดับประถมศึกษา(Elementary School): Grade 1 – 6 สำหรับนักเรียนอายุประมาณ 5 – 12 ปี
- ระดับมัธยมศึกษา (Secondary School):Grade 7 – 12 สำหรับนักเรียนอายุประมาณ 13 – 18 ปี
- ระดับอุดมศึกษา การเข้าเรียนระดับอุดมศึกษา สามารถเข้ามหาวิทยาลัยและเรียน ป.ตรี 4 ปี เหมือนไทย แต่มีอีกช่องทางหนึ่งคือเข้าเรียนในวิทยาลัยชุมชน (Community College) 2 ปี และ Transfer เข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยในชั้นปีที่ 3 เลย ข้อแตกต่างคือ การเลือกเรียน ปี 1 และ 2 ที่วิทยาลัยชุมชน (Community College) จะมีค่าเล่าเรียนที่ถูกกว่าเรียนในมหาวิทยาลัยทั้ง 4 ปี จึงมีนักเรียนไทยส่วนหนึ่งที่เลือกไปเรียนต่อผ่านช่องทางนี้
- โรงเรียนรัฐบาล (State School) นักเรียนต่างชาติสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาลได้ผ่านโครงการแลกเปลี่ยนและวีซ่าแบบ J-1 เท่านั้น แต่นักเรียนต่างชาติสามารถเรียนได้สูงสุดไม่เกิน 1 ปีการศึกษา
- โรงเรียนเอกชน (Private School) โรงเรียนเอกชนในอเมริกานั้น ส่วนใหญ่จะเป็นโรงเรียนแบบไปกลับ คือพักอยู่กับครอบครัว และมีแบบโรงเรียนประจำ Boarding School แต่จะมีค่าใช้จ่ายสูงเนื่องจากรวมค่าที่พักและกินอยู่ โดยโรงเรียนประจำในอเมริกามีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ประมาณ 1.2 ล้านบาท
- วิทยาลัย 2 ปี (Junior College) เป็นหลักสูตร 2 ปีต่อจากมัธยมศึกษาตอนปลาย หลักสูตรมี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
- Transferable Program ผู้เรียนสามารถโอนหน่วยกิตไปเรียนต่อปีที่ 3 ของวิทยาลัย หรือ มหาวิทยาลัย เพื่อศึกษาต่อจนจบปริญญาตรีได้
- 2) Terminal/Occupational Program เป็นหลักสูตร 2 ปี เน้นทางวิชาชีพ ความสามารถในงานเทคนิค และงานกึ่งวิชาชีพ สำเร็จแล้วได้รับอนุปริญญา
- วิทยาลัยประจำท้องถิ่น (Community College) เป็นหลักสูตร 2 ปีต่อจากมัธยมศึกษาตอนปลาย มีแบบแผนเดียวกับ Junior College เพื่อตอบสนองความต้องการของท้องถิ่น
- วิทยาลัย (College) หลักสูตร 4 ปี สำเร็จแล้วได้รับปริญญาตรี บางแห่งเปิดสอนถึงระดับปริญญาโท
- มหาวิทยาลัย (University) เปิดสอนระดับปริญญาตรี (4 ปี) ปริญญาโท (1 – 2 ปี) และปริญญาเอก (4 ปี) เน้นการสอนและการค้นคว้าวิจัยในแง่วิชาการ
- สถาบันทางวิชาชีพ เป็นสถาบันทางวิชาชีพชั้นสูงโดยเฉพาะ เช่น แพทยศาสตร์ กฎหมาย เป็นต้น หลักสูตร 3-8 ปี แล้วแต่สาขาวิชา โดยปกตินักศึกษาจะเข้าศึกษาหลังจากที่สำเร็จปริญญาตรีมาแล้ว
มีการแบ่งเป็นหลายแบบขึ้นกับ ความต้องการของสถานศึกษา และความนิยมของท้องถิ่น ได้แก่
- ระบบ Semester แบ่งเป็น 2 Semester ๆ ละ 16 – 18 สัปดาห์ และอาจมี 1 หรือ 2 summer session
- Fall Semester เปิดประมาณกันยายนถึงกลางธันวาคม
- Spring Semester เปิดประมาณมกราคมถึงกลางเมษายน
- Summer Semester เปิดประมาณกลางพฤษภาคมถึงสิงหาคม
- ระบบ Trimester แบ่งเป็น 3 เทอม ๆ ละ 3 เดือน
- First เปิดประมาณกันยายนถึงธันวาคม
- Second เปิดประมาณมกราคมถึงเมษายน
- Third เปิดประมาฯพฤษภาคมถึงสิงหาคม
- ระบบ 4-1-4 แบ่งภาคเรียนเป็น 2 เทอม (Semester) เทอมละ 15 สัปดาห์ คั่นด้วยเทอมสั้น ๆ เรียกว่า Mini-term หรือ Interim เทอมสั้นนี้ มีระยะเวลาเรียน 1 เดือน
- Fall เปิดประมาณกันยายนถึงธันวาคม
- Mini-term หรือ Interim เปิดประมาณมกราคม ( 1 เดือน )
- Spring เปิดประมาณกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม
Expense
สหรัฐอเมริกา มีความหลากหลายและตัวเลือกมากมาย ด้วยจำนวนสถาบัน ประเภทสถาบัน และที่ตั้ง ทำให้การประมาณค่าใช้จ่ายมีความแตกต่างกันได้อย่างมาก การวางแผนที่ดี จะทำให้นักเรียนสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้รัดกุมและถูกต้องยิ่งขึ้น
ติดใจเรื่องค่าใช้จ่าย? เราช่วยได้!
+666-2693-5956
How to Apply
Visa
ขั้นตอนและเอกสารในการขอวีซ่านักเรียน
นักเรียนไทยที่เข้าไปเรียนต่อที่สหรัฐฯ จะต้องมีวีซ่านักเรียนแบบ F-1 หรือ M-1(วิชาชีพ) โดย ProInterEd จะเป็นผู้ให้คำแนะนำ ช่วยเตรียมการจองและตรวจเอกสารทุกขั้นตอน โดยมีขั้นตอนดังนี้
- หลังจากยื่นใบสมัครและมีผลตอบรับ นักเรียนจะได้รับเอกสาร I-20 จากมหาวิทยาลัย (I-20 คือเอกสารสำคัญที่แสดงว่าข้อมูลของคุณได้รับการบันทึกในฐานข้อมูลของรัฐบาลที่เรียกว่า SEVIS และมหาวิทยาลัยจะออกเอกสารนี้ ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญในการขอวีซ่านักเรียน)
- ชำระค่า the SEVIS I-901 ทางออนไลน์ และพิมพ์ใบเสร็จ
- ชำระค่าธรรมเนียมการขอวีซ่า F-1
- กรอกเอกสารสมัครออนไลน์ แบบฟอร์ม DS-160 ( DS-160 VIsa Application ) กรอกให้ถูกต้องและครบถ้วน โดย ProInterEd จะช่วยดูแล แนะนำ กรอกและตรวจสอบให้ แนะนำว่าควรได้รับอนุมัติวีซ่าแล้วจึงค่อยกำหนดซื้อตั๋วเดินทาง
- นัดวันสัมภาษณ์ ผ่านเว็บไซต์ CGI Federal และพิมพ์ใบยืนยันการนัดหมาย
- ไปสัมภาษณ์ ตามวัน เวลา ที่นัด ที่สถานทูตฯ (กทม) หรือสถานกงสุลสหรัฐฯ (เชียงใหม่) ควรถึงก่อนเวลานัดหมาย 30 นาที
เอกสารที่ต้องใช้ในการยื่นขอวีซ่านักเรียน
- พาสปอร์ตเล่มปัจจุบันที่ไม่หมดอายุ มีอายุอย่างน้อยอีก 6 เดือนหลังจากเข้าสหรัฐฯ กรณีเรียนนานกว่า 6 เดือน แนะนำให้ทำเล่มใหม่ใช้ยื่นสมัคร
- ใบสมัคร แบบฟอร์ม DS-160 พิมพ์หน้าที่ยืนยันการยื่นขอสมัครเพื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่
- ใบเสร็จการชำระค่าใบสมัครวีซ่าและใบเสร็จชำระ SEVIS
- รูปถ่าย– นำไปด้วยกรณีตอน upload ออนไลน์ ไม่สำเร็จ ดูข้อกำหนดรูปถ่ายที่ ข้อกำหนดรูปถ่าย
- แบบฟอร์ม I-20 ใบตอบรับเข้าเรียนจากมหาวิทยาลัย
- เอกสารอื่นๆ
- เอกสารด้านการเรียน Transcript,
- ใบรับรองการจบการศึกษา ใบประกาศนียบัตรจบการศึกษา
- ผลทดสอบด้านภาษา
- เอกสารด้านการเงิน ของตัวเอง หรือ สปอนเซอร์
- เอกสารประจำตัว สปอนเซอร์
- สำเนาทะเบียนบ้านตัวเอง และสปอนเซอร์ ที่แสดงความสัมพันธ์
- เอกสารอื่นๆ ใบเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล ฯลฯ